Work from home ยังไง ไม่ให้ค่าไฟพุ่ง?

Work from home ยังไง ไม่ให้ค่าไฟพุ่ง?

28 May 2020

Work from home ยังไง ไม่ให้ค่าไฟพุ่ง?
 
ในช่วงนี้หลายๆ คนก็กลับไปทำงานเหมือนเดิมแล้ว แต่ก็ยังมีหลายๆ บริษัทที่ให้ work from home อยู่ เพื่อนๆ ของโค้ชบางคนก็ทำงานที่บ้านอาทิตย์ละ 3 วัน และไปทำงานที่ office อาทิตย์ละ 2 วัน เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 และหลังจากนี้ไปโค้ชก็เชื่อว่าสถานการณ์หลายๆ อย่างจะทำให้การทำงานหรือการทำธุรกิจเปลี่ยนไป หลายๆ คนอาจจะเปลี่ยนมาทำงานที่บ้านมากขึ้น แม้ว่าโควิด 19 จะผ่านพ้นไปแล้ว
 
เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองร้อน การทำงานที่บ้านทำให้เราต้องใช้ไฟที่บ้านเยอะ ค่าไฟก็สูงขึ้นมาก
โชคดีที่ช่วงนี้การไฟฟ้ามีมาตรการออกมาช่วยเหลือเรื่องค่าไฟ 3 เดือน คือ ไม่เก็บค่าไฟสำหรับคนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน และใครที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 800 หน่วย ให้จ่ายค่าไฟเท่ากับยอดการใช้ไฟเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา, และให้ส่วนลด 50% สำหรับคนที่ใช้ไฟฟ้าตั้งแต่ 800-3,000 หน่วย และส่วนลด 30% สำหรับคนที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 3,000 หน่วย รวมทั้งยังลดอัตราค่าบริการไฟฟ้าสุทธิ ที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มลงอีก 3% ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท ตั้งแต่เดือน เม.ย.-มิ.ย. แต่อย่าลืมว่ามาตรการนี้ทางการไฟฟ้าเขาให้แค่ 3 เดือนนะครับ ยังไม่มีนโยบายที่จะต่ออายุมาตรการช่วยเหลือออกไป ดังนั้นเพื่อนๆ อย่าใช้ไฟฟ้าเพลินนะครับ เดี๋ยวค่าไฟจะพุ่งสูงขึ้นจนเห็นตัวเลขแล้วอาจเป็นลมได้
 
และวันนี้โค้ชจะมาบอกวิธีประหยัดค่าไฟในช่วง work from home รับรองว่านำไปใช้แล้วได้ผลแน่นอนเลยครับ
 
 
1. เปิดแอร์ที่ 25 หรือ 26 องศา

เราควรปรับอุณหภูมิของแอร์เป็น 25 หรือ 26 องศา เพราะเป็นอุณหภูมิที่ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป การเพิ่มอุณหภูมิของแอร์ 1 องศา จะช่วยให้ประหยัดค่าไฟเพิ่มได้ หรืออาจจะเปิดแอร์สัก 26-27 องศา พร้อมกับเปิดพัดลมไปด้วย พัดลมจะช่วยกระจายความเย็นไปทั่วห้อง และช่วยให้ลดอุณหภูมิในห้องลงได้

นอกจะนี้ก็ควรทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศของแอร์อยู่เสมอ ปกติแล้วโค้ชจะถอดมาล้างทุกๆ 1-2 อาทิตย์ เพราะถ้ามีฝุ่นเยอะจะทำให้แอร์ไม่เย็น และอาจมีหยดน้ำออกมาจากตัวเครื่องได้
 

 

2. เปิดหน้าต่างเพื่อรับลมและแสงจากธรรมชาติ

ถ้าหากจะต้องเปิดไฟและเปิดแอร์ทั้งวันทั้งคืน ค่าไฟก็คงจะพุ่งกระฉูดแน่ๆ ดังนั้นในตอนกลางวัน เราควรจะเปิดม่านให้แสงสว่างจากข้างนอกเข้ามา แล้วนั่งทำงานในบริเวณที่มีแสงเข้า และปิดไฟบางดวงที่ไม่ได้ใช้ และช่วงไหนที่อากาศไม่ร้อนมากก็เปิดหน้าต่าง แล้วเปิดพัดลมแทนการเปิดแอร์  การเปิดหน้าต่างจะช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ดี และยังช่วยลดความเสี่ยงของ COVID-19 ได้อีกด้วย


 
 

3. ปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์เมื่อไม่ใช้งาน
 
ส่วนใหญ่แล้วในการ work from home เรามักจะต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงาน ไหนจะต้องประชุมผ่านทาง online ด้วย ดังนั้นการเปิดคอมพิวเตอร์ทั้งวันอาจจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในช่วงพักทานข้าวกลางวัน หรือช่วงอื่นๆ ที่เราไม่ได้ใช้งานคอมพิวเตอร์เกิน 10 นาที เราควรจะปิดหน้าจอนะครับ หรือเราอาจตั้งโปรแกรมให้เป็น Sleep Mode ไว้ เวลาที่ไม่ได้ใช้ หน้าจอจะได้ปิดอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดไฟได้มากขึ้นครับ


 

4. ถอดปลั๊กอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งานออก

ช่วงที่เรา work from home จะเห็นว่าเพื่อนๆ หลายคนทำอาหารทานเอง ดังนั้นอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เตาไฟฟ้า หม้อหุงข้าว ไมโครเวฟ เตาอบ เมื่อใช้เสร็จแล้วควรจะดึงปลั๊กออกด้วยนะครับ เพราะถึงแม้ว่าเราจะปิดสวิตช์เครื่องใช้ไฟฟ้าแล้ว แต่ถ้าไม่ถอดปลั๊ก กระแสไฟจะยังคงไหลผ่านเครื่องอยู่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการใช้งาน และเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ก็กินไฟค่อนข้างสูง การถอดปลั๊กเป็นวิธีการตัดกระแสไฟที่แน่นอนที่สุดครับ

พวกอุปกรณ์ไร้สาย เช่น ลำโพงบลูทูธ ก็เช่นกันครับ ถ้าใช้งานเสร็จแล้วควรปิดสวิตช์ ไม่ควรเสียบปลั๊กทิ้งไว้ เพราะแม้จะไม่มีการเชื่อมต่อ แต่ก็ยังใช้ไฟฟ้าอยู่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการใช้งานครั้งต่อไป ดังนั้นเมื่อใช้อุปกรณ์พวกนี้เสร็จแล้ว ควรปิดเครื่อง ถอดปลั๊ก เพื่อประหยัดไฟครับ

 

5. เลือกใช้หลอดประหยัดไฟ

การเปลี่ยนหลอดไฟที่บ้านให้เป็นหลอดไฟ LED จะช่วยให้เพื่อนๆ ประหยัดค่าไฟได้มากขึ้น เพราะหลอดไฟ LED มีความร้อนน้อยกว่าหลอดไส้หรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ และยังกินไฟน้อย แต่มีอายุการใช้งานที่นานกว่าด้วยครับ


 

6. จัดระเบียบของในตู้เย็น
 
ช่วง work from home หลายๆ คนคงซื้ออาหารมาตุนกัน เพราะจะได้ไม่ต้องออกจากบ้านบ่อย และเริ่มชินกับการซื้อของออนไลน์ พอเห็นอะไรน่ากินก็สั่งซื้อมาตุน กินไม่หมดก็ใส่ตู้เย็นไว้ ใช่ไหมครับ  แล้วก็เปิดตู้เย็น หยิบของออกมากินบ่อยมาก จนน้ำหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว ที่โค้ชรู้เพราะโค้ชก็เป็นเหมือนกันครับ
 
แต่อยากจะบอกว่าอาหารที่เราซื้อมาตุนในช่วงนี้ เราควรจะจัดให้เป็นระเบียบนะครับ เพราะถ้าใส่เข้าไปในตู้เยอะเกินไป จะทำให้ความเย็นไหลเวียนไม่สะดวก ควรละลายน้ำแข็งสม่ำเสมอเพื่อให้ตู้เย็นทำความเย็นได้ดี และอย่าเปิดปิดตู้เย็นบ่อยจนเกินไป เพราะตู้เย็นจะทำงานหนัก นอกจากจะทำให้ค่าไฟพุ่งสูงขึ้นมากแล้ว ยังทำให้น้ำหนักเราพุ่งขึ้นด้วยครับ
 


 

7. รีดเสื้อผ้าครั้งละหลายๆ ตัว

การ Work from home ก็มีข้อดีอยู่อย่างนึงคือ เราไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าที่เนี๊ยบเท่ากับตอนที่เราออกไปทำงานข้างนอก     ดังนั้น เราอาจจะเลือกใช้ผ้าที่เบาสบาย ระบายอากาศได้ดี อาจจะเลือกใช้เนื้อผ้าแบบที่ไม่ต้องรีด เพราะเตารีดเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่กินไฟเยอะมาก ดังนั้นถ้าจะรีด ก็ควรจะรีดทีละหลายๆ ตัว เพราะจะช่วยประหยัดไฟมากกว่ารีดแค่วันละตัว การซักผ้าก็เช่นกัน ควรซักครั้งละหลายๆ ตัว เพราะซักน้อยจะเปลืองทั้งน้ำและไฟครับ



นอกจากนี้ก็ควรจะตรวจสอบเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ อะไรเสียควรซ่อมแซมทันที เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร หรืออันตรายอื่นๆ จากกระแสไฟฟ้าด้วยนะครับ 

ขอบคุณครับ
โค้ชณัฐ
 
#ธุรกิจกับจิตใจต้องไปคู่กัน
เชิญคลิกมาเป็นเพื่อนกันและรับข้อมูลดีๆ ได้ที่
Line : @coachnatt
www.facebook.com/coachnatt
www.coachnatt.com
YouTube: CoachNatt
โทร. 081-710-9805